S&P 500 & สงครามโลกครั้งที่ 2
ตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นท่ามกลางวิกฤต
🗓️ 1. จุดเริ่มต้น (1939): ปฏิกิริยาที่น่าประหลาดใจ
เหตุการณ์: เยอรมนีบุกโปแลนด์ (1 ก.ย. 1939)
จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป ตลาดหุ้นเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ แต่ปฏิกิริยาของตลาดกลับสวนทางกับความกังวล
S&P 500 ณ สิ้นปี 1939
~12.05 จุด
การมองไปข้างหน้าของตลาด
ตลาดมองข้ามความขัดแย้ง และคาดการณ์ว่าสงครามจะกระตุ้นการผลิตภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เพื่อป้อนยุทโธปกรณ์ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร
ปฏิกิริยาตลาด Dow Jones (4 วันถัดมา)
+10%
🚀 2. ไทม์ไลน์วิกฤตและความเชื่อมั่น (1939-1945)
กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ดัชนีจะร่วงลงสู่จุดต่ำสุดในปี 1942 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามเลวร้ายที่สุด แต่ตลาดก็เริ่มฟื้นตัว "ก่อน" ที่สงครามจะจบลง สะท้อนถึงการคาดการณ์ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรล่วงหน้า
🏁 3. บทสรุป: 1939 vs 1945
การเติบโตตลอดช่วงสงคราม
แม้จะมีความผันผวนอย่างรุนแรง แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ดัชนี S&P 500 ก็ปิดในระดับที่สูงกว่าจุดเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญ
การฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด
การเติบโตจากสิ้นปี 1939 ถึงสิ้นปี 1945:
+25.6%
และพุ่งขึ้นจากจุดต่ำสุด (พ.ค. 1942) ถึงสิ้นปี 1945:
+210%
💡 4. ทำไมถึงโต? กลไกการคัดเลือก (The "Weeding Out" Effect)
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ
การเติบโตของ S&P 500 ไม่ใช่แค่การฟื้นตัว แต่เป็นผลจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดย:
- การมองไปข้างหน้า (Forward-Looking): ตลาดเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปี 1942 โดยคาดการณ์ชัยชนะของสัมพันธมิตร
- การผลิตยุคสงคราม (War-Time Boom): รัฐบาลอัดฉีดงบประมาณมหาศาล กระตุ้นการผลิตภาคอุตสาหกรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
- กลไกการคัดเลือก (The "Weeding Out"): นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด...